ยารักษาสิว
- กลุ่มยารับประทาน
1. ยาในกลุ่มกรดวิตามินเอ (Isotretinoin) มักจะใช้ในผู้ป่วยที่เป็นสิวที่รุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาอื่น ๆ ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์เพราะ มีโอกาสเกิดความพิการของทารกในครรภ์ได้ เมื่อให้ในผู้ป่วยหญิงวัยเจริญพันธุ์ ต้องให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วย ถึงการคุมกำเนิดอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในขณะกินยาและหลังหยุดยาอย่างน้อย 1 เดือน ควรงดบริจาคโลหิตระหว่างการรักษาและหลังการรักษาอย่างน้อย 3 เดือน ไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เพราะมีผลต่อความสูงของเด็กได้
2. ยาในกลุ่มของฮอร์โมน หรือ ยาคุม จะลดความมันของหน้าได้ประมาณ 20 - 30 % ไม่ควรใช้ในเด็กในรายที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดและหัวใจ และในผู้ที่มีประวัติเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมนอกจากนั้นยาอาจจะมีผลต่อเรื่องน้ำหนักตัว ความดันโลหิตสูง กระตุ้นอาการปวดศีรษะไมเกรนได้
3. ยากลุ่มยาปฏิชีวนะมีใช้หลายตัว เช่น Tetracyclin, Doxycycline, Erythromycin
การกินยาปฏิชีวนะนาน ๆ อาจจะมีผลต่อการเกิดเชื้อราในช่องคลอดได้ยากินทุกตัว ไม่ควรหาซื้อกินเอง ควรปรึกษาแพทย์โรคผิวหนังก่อนเสมอเพื่อทราบถึงผลข้างเคียงและข้อควรระวังในการใช้ยา ที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ - วิตามินเอมีสรรพคุณรักษาสิวอยู่ด้วย ซึ่งมียาทาใบหน้าที่มีส่วนผสมของวิตามิน A สุดอยู่ สามารถสอบถามตามร้านขายยาทั่วไป
- กลุ่มยาทา
1. ยาทาในกลุ่มวิตามินเอและอนุพันธ์ของวิตามินเอ เช่น Tretinoin, Adapalene ,Tazarotene ได้ผลดีโดยเฉพาะสิวอุดตัน และยังใช้เป็นตัวป้องกันไม่ให้สิวเกิดขึ้นใหม่ หรือน้อยลงได้ในระยะยาว แต่ยามีฤทธิ์ระคายเคืองได้บ้าง โดยเฉพาะเมื่อเริ่มต้นใช้ในระยะแรกๆ
2. ยาทาในกลุ่มยาปฏิชีวนะ เช่น 1% Clindamycin, Erythromycin, Metronidazole ซึ่งจะให้ผลในการลดจำนวนแบคทีเรียที่ก่อสิวอักเสบไม่ควรใช้ยากลุ่มนี้อย่างเดียว เพราะทำให้สิวดื้อยาได้
3. ยาทากลุ่ม Benzyl peroxide มีฤทธิ์ในการลดจำนวนแบคทีเรียและลดการอักเสบของสิวแต่ยามีฤทธิ์ระคายเคืองได้บ้าง และกัดสีเสื้อผ้าได้ ระวังไม่ทำยาเลอะเสื้อผ้า โดยเฉพาะเสื้อผ้าสีเข้ม
4. Azelaic acid ฆ่าแบคทีเรียที่ก่อสิวและลดจำนวน Comedone ได้
5. ยากลุ่มอื่นๆ เช่น การฉีดสเตียรอยด์ปริมาณน้อยๆ ที่สิวอักเสบจะลดการอักเสบที่สิวได้เร็ว
- กลุ่มยารับประทาน
1. ยาในกลุ่มกรดวิตามินเอ (Isotretinoin) มักจะใช้ในผู้ป่วยที่เป็นสิวที่รุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาอื่น ๆ ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์เพราะ มีโอกาสเกิดความพิการของทารกในครรภ์ได้ เมื่อให้ในผู้ป่วยหญิงวัยเจริญพันธุ์ ต้องให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วย ถึงการคุมกำเนิดอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในขณะกินยาและหลังหยุดยาอย่างน้อย 1 เดือน ควรงดบริจาคโลหิตระหว่างการรักษาและหลังการรักษาอย่างน้อย 3 เดือน ไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เพราะมีผลต่อความสูงของเด็กได้
2. ยาในกลุ่มของฮอร์โมน หรือ ยาคุม จะลดความมันของหน้าได้ประมาณ 20 - 30 % ไม่ควรใช้ในเด็กในรายที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดและหัวใจ และในผู้ที่มีประวัติเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมนอกจากนั้นยาอาจจะมีผลต่อเรื่องน้ำหนักตัว ความดันโลหิตสูง กระตุ้นอาการปวดศีรษะไมเกรนได้
3. ยากลุ่มยาปฏิชีวนะมีใช้หลายตัว เช่น Tetracyclin, Doxycycline, Erythromycin
การกินยาปฏิชีวนะนาน ๆ อาจจะมีผลต่อการเกิดเชื้อราในช่องคลอดได้ยากินทุกตัว ไม่ควรหาซื้อกินเอง ควรปรึกษาแพทย์โรคผิวหนังก่อนเสมอเพื่อทราบถึงผลข้างเคียงและข้อควรระวังในการใช้ยา ที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ - วิตามินเอมีสรรพคุณรักษาสิวอยู่ด้วย ซึ่งมียาทาใบหน้าที่มีส่วนผสมของวิตามิน A สุดอยู่ สามารถสอบถามตามร้านขายยาทั่วไป
- กลุ่มยาทา
1. ยาทาในกลุ่มวิตามินเอและอนุพันธ์ของวิตามินเอ เช่น Tretinoin, Adapalene ,Tazarotene ได้ผลดีโดยเฉพาะสิวอุดตัน และยังใช้เป็นตัวป้องกันไม่ให้สิวเกิดขึ้นใหม่ หรือน้อยลงได้ในระยะยาว แต่ยามีฤทธิ์ระคายเคืองได้บ้าง โดยเฉพาะเมื่อเริ่มต้นใช้ในระยะแรกๆ
2. ยาทาในกลุ่มยาปฏิชีวนะ เช่น 1% Clindamycin, Erythromycin, Metronidazole ซึ่งจะให้ผลในการลดจำนวนแบคทีเรียที่ก่อสิวอักเสบไม่ควรใช้ยากลุ่มนี้อย่างเดียว เพราะทำให้สิวดื้อยาได้
3. ยาทากลุ่ม Benzyl peroxide มีฤทธิ์ในการลดจำนวนแบคทีเรียและลดการอักเสบของสิวแต่ยามีฤทธิ์ระคายเคืองได้บ้าง และกัดสีเสื้อผ้าได้ ระวังไม่ทำยาเลอะเสื้อผ้า โดยเฉพาะเสื้อผ้าสีเข้ม
4. Azelaic acid ฆ่าแบคทีเรียที่ก่อสิวและลดจำนวน Comedone ได้
5. ยากลุ่มอื่นๆ เช่น การฉีดสเตียรอยด์ปริมาณน้อยๆ ที่สิวอักเสบจะลดการอักเสบที่สิวได้เร็ว